ปฏิบัติภาระหน้าที่สี่ปรองดองให้ได้ผลอย่างแท้จริง : เอี้ยนฉี

หัวใจสำคัญของการศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ข้อที่ 1 คือ ปรองดองกายใจเป็นภาระหน้าที่ของฉัน
ต้องปฏิบัติอย่างไรจึงจะสามารถปรองดองกายใจได้ ก่อนอื่น ต้องปรองดองกายและจิตวิญญาณของตน ต้องใจดี พูดจาดี ทำเรื่องที่เป็นประโยชน์ และเป็นคนดี คือ ไม่ว่าเรื่องใด ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำงานล้วนมีส่วนช่วยเหลือฉัน มักจะคิดถึงการสร้างคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น อยู่บ้านรับประทานอาหารอะไรมีรสโอชาและเสริมพลังงานแก่ร่างกายตนทั้งนั้น ดั่งคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” บทที่ 80 กล่าวไว้ว่า “กินดีอยู่ดีอาภรณ์งามวัฒนธรรมประเพณีดีงาม ประเทศเพื่อนบ้านแลเห็นซึ่งกันและกัน” ซึ่งหมายความว่า ไม่ว่ารับประทานอาหารอะไรรู้สึกอร่อยไปหมด สวมใส่เสื้อผ้าอะไรล้วนแต่สวยงามทั้งนั้น ไปอยู่ที่ใดล้วนแต่รู้สึกมีความสุขมาก ผมยังรู้สึกว่าการปรองดองกายใจยังต้องไม่มีการเปรียบเทียบ ไม่คิดเล็กคิดน้อย ในโลกนี้มี “มาร” อยู่ 2 นิกายใหญ่ ๆ คือ การเปรียบเทียบกับคิดเล็กคิดน้อย ทันทีที่แบนิกายมารทั้งสองนี้ออกมา ชีวิตจึงมีความทุกข์กันแล้ว
หัวใจสำคัญของการศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ข้อที่ 2 คือ ปรองดองครอบครัวเป็นภาระหน้าที่ของฉัน
ข้อที่ 1 การปรองดองกายใจมิใช่เป็นเรื่องที่ปฏิบัติได้ง่าย ๆ แล้ว การปรองดองครอบครัวนั้นยากยิ่งกว่าเสียอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือคนที่อยู่ข้างกาย คือ บิดามารดา บุตรธิดาของตน โดยเฉพาะคือภรรยาของตน ความเคยชินที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเป็นเวลาหลายสิบปี จะอย่างไรก็ตามทุกคนต่างรู้สภาพความเป็นจริงของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี เวลานี้จึงไม่อาจเคารพกันเหมือนแขกแล้ว ภรรยาผมมักจะว่าผมมีท่าทีดีต่อผู้อื่น แต่ไม่ดีต่อเธอ ผมคิดว่านี่คือผมได้ทำผิดแล้ว ทำให้ภรรยามีความรู้สึกเช่นนี้ ครอบครัวนี้จึงไม่ปรองดองแล้ว
ครอบครัวต้องปรองดอง ก่อนอื่นต้องมีท่าทีที่ดีต่อทุกคนที่ใกล้ชิดที่สุดข้างกาย ล้วนต้องให้ความอบอุ่นแก่พวกเขา ทำให้พวกเขารู้สึกสบายและอิสระ โดยเฉพาะต่อสมาชิกในครอบครัวของตน จะต้องมีจิตใจที่เคารพยำเกรง ตราบใดที่ท่านใช้จิตใจที่เคารพยำเกรงและอ่อนน้อมถ่อมตนต่อสมาชิกในครอบครัว ตราบนั้นความขัดแย้งในครอบครัวจึงแก้ตกได้ ในอดีตผมมักจะแกล้งเรียกภรรยาว่า “ฮีโร่หญิง” บัดนี้ได้ศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” จึงเรียกเธอว่า “อาจารย์ซี” เนื่องจากผมรู้สึกว่า ผู้ที่อยู่ข้างกายของเราทุกคนล้วนเป็นอาจารย์ของเรา จากจุดนี้พวกเราที่อยู่เมืองวัฒนธรรม ทุกคนต่างเรียกกันและกันด้วยความเคารพว่า “อาจารย์” แต่พอกลับถึงบ้านก็ลืมแล้ว หากได้นำพาจิตแห่งความเคารพยำเกรงไว้ในดวงใจ ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาจึงปรองดองแน่นอน ดังนั้น คนโบราณได้กล่าวถึงสภาวธรรมสูงสุดแห่งความสัมพันธ์ของสามีภรรยาว่า “สามีภรรยาต่างให้ความเคารพนบนอบต่อกัน ละม้ายคล้ายเคารพแขกฉะนั้น” แต่ก่อนในสงครามครอบครัว รบคราใดผมมักเป็นผู้แพ้ครานั้น ดังนั้น ผมจึงปลุกระดมให้ภรรยาไปร่วมศึกษาที่เมืองวัฒนธรรมด้วยกันกับผม หวังให้เหมือนสามีภรรยาของครอบครัวหัวหน้าการศึกษาอื่น ๆ ที่จูงมือกันร่วมฝึกปฏิบัติ ช่างมีความสุขและปรองดองกันดี แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะเหตุใด เพราะตัวผมเองยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เมื่อไปเตือนผู้อื่น ภรรยาผมจะพูดว่า “คุณไปตั้งหลายครั้งแล้วยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย ฉันจะไปด้วยหรือ คุณไปเถิด...” ดังนั้น ผมรู้ว่าตัวผมเองแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ด้วยเหตุนี้ จึงไม่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ใกล้ชิดที่สุดที่อยู่ข้างกายได้ ผมจึงเริ่มแต่บัดนี้เป็นต้นไปจะศึกษาให้ความเคารพซึ่งกันและกัน ผมคิดว่ารูปแบบที่ดีที่สุดของการรักตนเองและคนในครอบครัวคือ การพัฒนาตน รักรูปแบบการเกิดใหม่ที่ดีที่สุด ก็คือ ช่วยมวลชีวิตให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ คนข้างกายของตน จะต้องช่วยพวกเขาประสบความสำเร็จให้ได้แน่นอน
หัวใจสำคัญของการศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ข้อที่ 3 คือ ปรองดองธุรกิจเป็นภาระหน้าที่ของฉัน
จะปฏิบัติอย่างไรจึงจะปรองดองธุรกิจได้ ในอดีตก่อนที่ผมจะศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ท่าทีต่อพนักงานโดยทั่วไปคือ ออกคำสั่ง ตำหนิติเตียน และเรียกร้องทีมงานข้างล่างไปทำงานชิ้นหนึ่ง หลังจากได้ศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” แล้ว ผมเข้าใจถึงการเคารพยำเกรงและให้ความสำคัญกับพวกเขา เพราะเราทุกคนต่างเป็นชีวิตที่ยิ่งใหญ่ซึ่งเป็นหนึ่งไม่มีสองของโลกใบนี้ ดังนั้น จึงคู่ควรแก่การให้ความเคารพ ไม่ว่าผมในฐานะเป็นผู้นำของบริษัท แต่ก็ไม่อาจใช้คำสั่งไปเรียกร้องผู้อื่นไปทำงานใดๆ แต่พึงให้พนักงานรู้สึกภูมิใจและภาคภูมิใจตนเองที่ได้ทำงานในบริษัทนี้ ให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจ แต่มิใช่ถูกดุด่า สำหรับจุดนี้ บัดนี้ผมต้องสารภาพผิด นับแต่ผมมีอาชีพจำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรงเป็นเวลา 16 ปีมานี้ ซึ่งได้พัฒนาตนขึ้นจากพนักงาน ก่อตั้งธุรกิจ จนถึงระดับบริหาร การที่พัฒนาได้ไม่มากนั้นมีสาเหตุมากมาย เป็นเพราะตนเองไม่มีเป้าหมายและโครงการ โดยเฉพาะในระยะใกล้ๆ ไม่กี่ปี ผมจะนอนหลับจนให้ตื่นเองตามธรรมชาติ... หลังจากผมได้ศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง”แล้ว จึงเริ่มมีความรู้สึกผิดชอบ รู้ว่าตนทำธุรกิจมิเพียงต้องแบกรับความรับผิดชอบต่อสังคม ยิ่งต้องให้ชีวิตของพนักงานทุกคนปล่อยทีเด็ดเต็มที่ให้ถึงอกถึงใจท่ามกลางการทำงาน นี่ก็เป็นภาระหน้าที่ของเรา ณ ที่นี้ผมควรจะสำรวจตนเองให้ดีว่า หลายปีมานี้ตนเองขี้เกียจเพียงใด
หัวใจสำคัญของการศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ข้อที่ 4 คือ ปรองดองสังคมเป็นภาระหน้าที่ของฉัน
นับแต่ผมเปิดบริษัทเป็นต้นมา บริษัทการเงินได้บอกว่าคุณเลี่ยงภาษีได้อย่างชอบธรรม ประโยคที่ว่า “เลี่ยงภาษีได้อย่างชอบธรรม” นี้ ชำระภาษีน้อยลงตลอดจนไม่ต้องชำระ แต่ในฐานะเป็นผู้ศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ผมเข้าใจถึงการสำนึกบุญคุณสังคมและประเทศชาติ ผมรู้สึกว่าเราเติบโตอยู่ในยุคนี้มีความสุขเหลือเกินแล้ว ไม่ต้องเผชิญสงครามที่น่ากลัวและทุกข์ทรมาน และประเทศจีนพัฒนาได้ดีและเร็วมาก ไม่ว่าด้านไหนก็ดีมากทั้งนั้น แต่ประเทศต้องการความเข้มแข็ง จึงไม่อาจเหินห่างจากการชำระภาษีที่ชอบด้วยกฎหมายได้ ตัวธุรกิจเองเป็นหน่วยสำคัญหน่วยหนึ่งที่ประเทศชาติไม่อาจขาดได้ ทำธุรกิจพึงมีกำไรที่ชอบธรรม แล้วให้ประเทศชาติเก็บภาษีตามกฎหมายด้วยจิตใจที่ซื่อสัตย์และสง่าผ่าเผย และเก็บภาษีได้มาก ทำอย่างไรจึงนับได้ว่าเป็นธุรกิจและบริษัทแห่งหนึ่ง หรือร้านค้าใดที่ยอมแบกรับเป็นหน้าที่ของตนเพื่อสังคมนี้ ทำอย่างไรธุรกิจจึงจะสามารถยืนอยู่ในสังคม อุทิศแก่สังคมให้มาก และบรรลุเป็นภาระหน้าที่ของตนอย่างสุดความสามารถได้ สำหรับวิธีที่ง่ายที่สุดคือบริหารธุรกิจให้ดี ชำระภาษีให้ประเทศชาติมากสักหน่อย หากธุรกิจทุกแห่งปฏิบัติและคิดเช่นนี้แล้ว ชาติจะนับวันยิ่งเข้มแข็งและมั่งคั่งขึ้นแน่นอน พื้นที่การเจริญเติบโตจะกว้างใหญ่มากยิ่งขึ้น นับวันจะเป็นที่ต้องการของสังคมลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
สุดท้ายขอสรุปสักหน่อยว่า การศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ก่อนอื่นคือ เปลี่ยนแปลงตนและพัฒนาตนให้เติบโตขึ้น จากนั้นไปส่งผลกระทบต่อผู้มีบุญสัมพันธ์ข้างกายให้มากยิ่งขึ้นร่วมกันก้าวสู่โครงการคนดีอยู่เย็นเป็นสุขตลอดชีวิต ทำให้ทุกคนดำเนินชีวิตอยู่ในประเทศจีนและโลกที่ยิ่งใหญ่นี้อย่างปรองดอง เช่นนี้แล้วผมคิดว่า จึงจะเป็นความผาสุกที่แท้จริง หากเรานำรอยยิ้มที่มุมปากตลอดเวลาเหมือนตอนอยู่เมืองวัฒนธรรมเหลาจื่อเต้าเต๋อสากล ในใจเปี่ยมด้วยการสำนึกบุญคุณ อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพยำเกรง และยกระดับวิญญาณของตนตลอดเวลาของการดำเนินชีวิต รับประทานอาหาร ตลอดจนการนอนหลับ และอำนวยพรให้สังคมปรองดองสงบเปี่ยมด้วยความสุข นี่จึงจะเป็นเป้าหมายแท้จริงของเราในการศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง”
ผมจะต้องพยายามสู้ๆ เพื่อมุ่งสู่ทิศทางนี้แน่นอน เปลี่ยนแปลงตนเองแบบลอกคราบ อาศัยชีวิตที่มีจำกัดนี้ช่วงชิงการทำงานที่มีความหมายให้มากยิ่งขึ้น