ให้อภัยตนเองและทำตนให้ดี : ฉางฮว๋า

เมื่อสองพันกว่าปีก่อนท่านเหลาจื่อใฝ่ฝันการดำเนินชีวิตที่ดีงามและจินตนาการต่ออนาคตโดยหลงเหลือคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ไว้ ทั้งเป็นการเหลือเป้าหมายแห่งวิสัยทัศน์แก่มนุษย์ “สังคมที่ปรองดอง” เป็นข้อสรุปและแก่นสารของคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ท่านเหลาจื่อให้สังคมมนุษย์พยายามต่อสู้เพื่อการนี้ มุ่งแสวงหาความก้าวหน้าไปทำให้เป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้ปรากฏเป็นจริงอย่างต่อเนื่อง
ผู้นำของประเทศจีนยุคนี้ประยุกต์ใช้ผลึกภูมิปัญญาอันเป็นวัฒนธรรมสืบทอดที่ดีเด่นในคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” นำพาประชาชนชนชาติต่างๆ ทั่วประเทศเพื่อเป้าหมายการต่อสู้ 100 ปีสองครั้ง และพยายามต่อสู้เพื่อให้ความฝันอันยิ่งใหญ่ที่ให้ประชาชาติจีนเจริญขึ้นมาใหม่ปรากฏเป็นจริง ก่อตั้งองค์ชะตาชีวิตมนุษย์ยุคใหม่ร่วมกัน บอกผู้คนทั่วหล้าอย่างชัดแจ้งว่า “ประชาชนใฝ่ฝันต่อการดำเนินชีวิตที่ดีงาม คือเป้าหมายการต่อสู้ของเรา” วันนี้ประเทศจีนได้ทำลายลักษณะประวัติศาสตร์อีกครั้ง พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รวมตัวกับผู้นำของพรรคการเมืองทั่วโลกเกือบ 300 พรรคและคณะที่ปักกิ่ง ร่วมกันริเริ่มชี้นำการ “ก่อตั้งองค์ชะตาชีวิตมนุษย์ยุคใหม่ร่วมกัน และร่วมกันสร้างโลกที่ดีงามเป็นภาระหน้าที่ของพรรคการเมือง” เป็นหัวข้อหลัก และเขียนแบบแปลนเพื่อทั่วทั้งโลก นี่คือสิ่งที่ท่านเหลาจื่อเสนอไว้ว่า “กินดีอยู่ดีอาภรณ์งามวัฒนธรรมประเพณีดีงาม” อันเป็นการแสดงออกของเป้าหมายสุดท้ายแห่งสังคมที่ปรองดองมิใช่หรือ
ด้วยเหตุนี้ พื้นฐานของสังคมที่ปรองดองคือ ครอบครัวและกายใจปรองดองเป็นมูลฐานที่สำคัญ เรื่องใหญ่ที่สุดของชีวิตคือ ความเป็นความตาย อยากให้มีสุขภาพแข็งแรงมีความสุขสันต์ ก่อนอื่นต้องให้กายและใจปรองดอง โดยใช้ความรักที่จริงใจมารู้จักตนเอง ฝึกฝนหลอมหล่อตนเองและปฏิบัติตนให้ดี
เมื่อ 8 ปีก่อน พี่สาวคนโตของผมป่วยเป็นโรคสมองฝ่อเฉียบพลัน ในระยะเริ่มแรก ไม่ได้พยายามติดตามบำบัดรักษาอย่างทันกาล เพียงแต่จัดให้รับประทานยาบางตัว มีอยู่วันหนึ่งนั่งรับประทานอาหารกับท่านโต๊ะเดียวกัน เห็นท่านเดี๋ยวร้องไห้เดี๋ยวหัวเราะแบบผิดปกติ แต่กลับไม่รู้ตัว เห็นแล้วน้ำตาไหลนองอาบหน้า ท่านกลับถามว่าร้องไห้ทำไม เวลานี้ค่อยรู้สึกตัว แล้วจึงกังวลขึ้นมา แต่ผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาลใหญ่ๆ ต่างๆ ได้บอกผมอย่างชัดเจนว่า การรับประทานยารักษาอาการของพี่สาวคนโตเป็นการควบคุมไม่ให้อาการหนักเร็วขึ้นเท่านั้น เวลานี้ยังไม่มียารักษาให้หายขาดได้ นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าโรคอัลไซเมอร์ในผู้สูงอายุ แต่พี่สาวมีอายุเพียง 50 กว่าปีเท่านั้น เหตุใดจึงป่วยเป็นโรคนี้ได้ เป็นภาระอันหนักอึ้งที่กดใจผมไว้ ทำให้ผมรู้สึกเสียใจไม่หยุด...
จำได้ว่าเมื่อ 30 กว่าปีก่อน คุณพ่อมีอาการวิกฤตถึงแก่ชีวิตเป็นครั้งแรก บอกว่า “ลูกต้องดูแลเอาใจใส่คุณแม่และพี่ชายพี่สาวให้ดี” ตอนนั้นคุณแม่พูดว่า “พ่อเลอะเลือนแล้ว เขายังไม่มีครอบครัวเลย” 20 ปีให้หลังเมื่อคุณพ่อมีอาการวิกฤตถึงแก่ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ท่านยังพูดกับผมด้วยคำพูดในทำนองเดียวกันว่า “ต้องดูแลเอาใจใส่พี่น้องให้ดี” เวลาผ่านไปอีก 10 ปี ก็คือตอนเช้าของเมื่อ 4 ปีก่อน คุณพ่อมาถึงห้องทำงานของผมอย่างกะทันหัน หยิบของได้ก็ขว้างปา ร้องไห้ไปพลางด่าไปพลางว่า “เรื่องที่ฝากให้แกไปทำ แกอะไรก็ไม่ได้ทำ” เวลานั้นพี่สาวคนโตได้ป่วยจนไม่อาจช่วยตัวเองได้โดยสิ้นเชิง ผมต้องขอโทษต่อพี่สาวและคำฝากฝังของพ่อแม่ ผมต้องขอขอบคุณพี่เขยที่คอยดูแลพี่สาวอย่างใกล้ชิด ทุ่มเททั้งกายใจดูแลหมดทุกสิ่งทุกอย่าง แม้กระทั่งอุจจาระปัสสาวะ ผมต้องขอโทษพี่สาวและพี่เขย โปรดให้อภัย ขอบคุณท่านทั้งสอง ผมรักท่านทั้งสองครับ
ปีที่แล้วผมกลับจากเมืองวัฒนธรรมเต้าเต๋อเหลาจื่อสากลครั้งแรก ผมคุกเข่าอยู่หน้ารถเข็นของพี่สาวไม่ทราบว่านานเท่าใดโดยไม่ได้ลุกขึ้น ผมพูดคุยกับเธอแม้จะไม่มีคำตอบก็ตาม แต่ผมรู้สึกได้ว่าเธอได้รับแล้ว เราจับมือกันไว้แน่น จิตวิญญาณของเราสองพี่น้องได้กระทบชนกัน ผมคล้ายกับได้ยินเสียงที่ให้อภัยของพี่สาว ในที่สุดผมก็โล่งอก ผมได้แต่อำนวยพรและขอบคุณพี่สาวของผม รวมทั้งขอบคุณพี่เขยคนโตที่ดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด...
ในเวลา 7 - 8 ปีมานี้ ผมรู้สึกแบกรับความผิดตลอดมา เมื่อเผชิญหน้ากับบรรดาพี่ ๆ น้อง ๆ ในวงศ์ตระกูลและลูก ๆ ของเรา แม้ว่าหลายปีมานี้คุณพ่อคุณแม่ไม่ได้โทษผมอีก แต่ความกดดันอันหนักอึ้งในใจไม่ได้ลดน้อยลงเลย การเดินทางไปเมืองวัฒนธรรมทำให้ผมโล่งอก คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ให้ผมรู้สึกถึงการปลอบประโลมต่อจิตวิญญาณ จึงขอขอบคุณต่อพลังของคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” และอาจารย์อาสาที่จูงมือผมไว้ ณ ที่นี้ด้วย ให้ผมได้รู้จักตนเองใหม่ ให้อภัยตนเอง กลับไปเป็นตัวของตัวเอง และปล่อยวางความกดดันในใจอันหนักอึ้งมาหลายปีของตน
ไม่กี่วันมานี้เมื่อกลับจากงานออกนอกพื้นที่แล้วไปเยี่ยมพี่สาว ได้เห็นลูกชายหลานชายและพี่สะใภ้พอดีอยู่กันหมด สภาพของพี่สาวทุกอย่างแย่ลง ร่างกายผอมเหมือนไม้เสียบผี ดูแล้วน่าจะอยู่ได้ไม่นาน ผมเกรงจะทนไม่ได้แล้วร้องไห้โฮ จึงรีบจากไปก่อน ผมได้แต่อำนวยพรให้พี่สาวและขอบคุณครอบครัวพี่เขยทั้งครอบครัว เมื่อสามวันก่อนพี่สาวผมได้อำลาจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ผมขออำนวยพรให้ท่านจงไปดีและไปสู่สุคติ และขออำนวยพรจากส่วนลึกของจิตใจให้ท่านจงยิ้มแย้มไปทั่วสรวงสวรรค์ พี่สาวที่เคารพรัก ขอให้ท่านจงไปอย่างสงบ ผมจะดูแลครอบครัวของพี่เขยให้ดีเหมือนเดิม ผมจะรักพี่ รักครอบครัวของพี่ และรักบรรดาทุกสิ่งทุกอย่างที่พี่ปล่อยวางไว้ตลอดกาล
เพื่อการสำนึกผิด ขอบคุณและปล่อยวางด้วยความรัก นับแต่เดือนพฤษภาคมผมขอขันอาสารับใช้ห้องประชุมเต้าเต๋ออันเป็นสถานที่สาธารณประโยชน์ของมวลชนที่หลัวซืออวาน หวังว่าจะปลอบประโลมจิตวิญญาณได้มากยิ่งขึ้น และหวังเป็นอย่างยิ่งที่ใช้การสำนึกผิดและการรับใช้สะท้อนสู่พี่สาวคนโตผู้อยู่บนสรวงสวรรค์