top of page

การบำบัดโรคต้องหาแพทย์ การรักษาชีวิตต้องอาศัยคุณสมบัติ : ซิ่วฉิน


กาลเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ปี 2017 กำลังจะผ่านไป ปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว เมื่อหวนรำลึกถึงเส้นทางการศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ดิฉันได้เดินผ่านมาแล้วปีแล้วปีเล่า ทำให้ดิฉันหวนคิดว่าการศึกษาของปีนี้เป็นอย่างไรบ้าง รู้สึกละอายใจมากว่า ยังห่างไกลจากเต๋ามาก วันหนึ่งในครึ่งปีหลังของปีนี้ได้เกิดเรื่องขึ้นอย่างกระทันหันเรื่องหนึ่ง ทำให้ดิฉันได้บทเรียนที่ตราตรึงถึงส่วนลึกของจิตใจยากจะลืมเลือนเกี่ยวกับ “การรับ”


เช้าวันหนึ่ง ดิฉันหกล้มอย่างแรงจนทำให้กระดูกสันหลังส่วนเอวหดยู่ลงและหัก เวลานั้นดิฉันมีอารมณ์และโทษแต่ผู้อื่น... เมื่อไปตรวจที่โรงพยาบาลคุณหมอบอกว่าต้องพักรักษาที่โรงพยาบาล ตอนนั้นรู้สึกว่า หลายสิบปีไม่เคยเข้าโรงพยาบาล ยากจะยอมรับได้ มีอารมณ์และบ่นว่าเป็นการใหญ่ มักจะถามว่า เพราะอะไร ในใจสับสนมาก จิตไม่สงบ ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี สักครู่จิตใจจึงค่อยๆ เย็นลง และนั่งอ่านคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” เงียบๆ บนเตียง


วันรุ่งขึ้นอาจารย์จางรีบรุดมาที่โรงพยาบาล ปลอบโยนและให้กำลังใจดิฉัน ให้ดิฉันกล้าเอาชนะความทุกข์ทรมาน ท่านพูดกับดิฉันว่า “บนเส้นทางชีวิต ความทุกข์ทรมานมีโอกาสเกิดได้ร้อยละ 80 - 90 จึงไม่ต้องกลัว ขอเพียงในใจมีความหวัง และเธอกำลังศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” เต๋าย่อมอยู่ในใจเธอ และในใจเธอย่อมมีเต๋าอย่างแน่นอน” อาจารย์จางยังกล่าวอีกว่า “ใจเธอต้องเยือกเย็น สงบ ปลื้มปีติและสุขสันต์ เต๋าจะเจริญพัฒนาได้” ในคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ท่านเหลาจื่อยังบอกดิฉันว่า “เต๋าไห้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดสอง สองให้กำเนิดสาม สามให้กำเนิดสรรพสิ่ง” ในช่วงเวลานี้ดิฉันได้อาศัยเต๋าเป็นเพื่อน หรือไม่ก็ท่องคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” หรือไม่ก็อ่านคำสัตยาธิษฐาน ทำให้ดิฉันเบิกบานใจ ปลื้มปีติ ไม่คิดถึงการเจ็บป่วยแล้ว อาการป่วยนี้ดูเหมือนจะหายดีแล้ว ไม่ปวดแล้ว และพลิกตัวได้แล้ว ช่างอัศจรรย์จริงๆ


เวลานั้นดิฉันถามหมออย่างไม่มีประสบการณ์ว่า “ดิฉันออกจากโรงพยาบาลได้หรือยังคะ” คุณหมอบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ที่จะหายได้อย่างรวดเร็วหรอก ทางที่ดีต้องผ่าตัด” ดิฉันได้ฟังแล้วตกใจมาก เกิดภาระทางความคิดหนักมากยิ่งขึ้น เป็นความตกใจที่เกิดเป็นครั้งที่ 2 อาจารย์จางได้ฝ่าความร้อนอบอ้าวมาชี้นำดิฉันที่ข้างเตียงและปลอบประโลมดิฉันว่า “ยิ่งเป็นความทุกข์ทรมาน เจ็บปวดและมีอุปสรรค ยิ่งต้องฝึกปฏิบัติจิต เต๋ามีพลังมาก ขอเพียงการคิดและภาวจิตของเธอเป็นบวกอยู่ตลอดเวลา เชื่อมั่นว่า อาการของเธอต้องนับวันดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน” ดิฉันใช้คำชี้แนะของท่านอาจารย์จางมาปรับปรุงการคิดของตน พบว่าไม่เลวจริงๆ จากความหวาดกลัวมาถึงการสำนึกบุญคุณท่ามกลางความสงบ ดิฉันพบว่าได้ผลดีมาก บริเวณที่บาดเจ็บมีอาการปวดก็ค่อยๆ เบาคลายลง ตลอดจนไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย


ดิฉันพูดกับคุณหมอว่า “ดิฉันลงจากเตียงได้แล้วใช่ไหมคะ” กลับถูกคุณหมอวิจารณ์อีก ทำให้ดิฉันตื่นตัวว่า ต้องเชื่อฟังคำพูดของหมอ เพราะคุณหมอเป็นผู้ที่ช่วยชีวิต เราต้องสำนึกบุญคุณพวกเขา พวกเขากำลังช่วยบำบัดรักษาโรคของเรา แต่คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” เป็นหนังสือกฎเกณฑ์ที่ช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ คนเรามีความสามารถในการฟื้นฟูสุขภาพ และมีโอกาสประสบกับความทุกข์ทรมาน ความเจ็บปวดและอุปสรรคต่างๆ ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนประกอบที่เป็นปกติของชีวิตคนเรา เมื่อเผชิญกับความเจ็บปวดจากการบาดเจ็บ หากมัวแต่หวาดกลัวและโทษผู้อื่น มิเพียงไม่อาจช่วยสุขภาพตนเองได้แม้แต่น้อย กลับดึงตนเข้าสู่บ่อเลนที่ลึกมากยิ่งขึ้น หากเปลี่ยนเป็นการขอบคุณ ตื่นรู้ และอำนวยพร รูปแบบการคิดเชิงบวกจะกลายเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดของหมอ ทำให้เราฟื้นฟูสุขภาพได้เร็วยิ่งขึ้น


อาจารย์สอนเราเสมอว่า การศึกษาและประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” จะต้องทำให้ได้จริงๆ คือสำรวจตนเอง ชำระล้างสิ่งสกปรกในจิตใจและปล่อยวางตนเอง จึงจะมีความสุขและประสบแต่ความราบรื่น แต่ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย การศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” เพื่อค้นหาตัวตน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิตคือ ทำคุณประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น หากไม่ได้ทำคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น สุดท้ายก็ไม่ได้อะไร ก่อนอื่นต้องปฏิบัติตนให้ดี หากตนมีความประพฤติไม่ดี จะเป็นผู้ไม่สงบสุขก่อน เรามิเพียงต้องทำงานในเวลานี้ให้ดี ในกระบวนการพัฒนาของเรา เนื่องจากความไม่เข้าใจได้ทำเรื่องผิดๆ ไว้มากมาย วันนี้เลือกที่จะให้อภัยแก่อดีตของตน เพราะการให้อภัยตนเองคือ มีท่าทีที่ดีต่อตนเอง โดยถือประสบการณ์ในอดีตเป็นของขวัญของชีวิต การใช้ชีวิตและสุขภาพในอนาคตจึงจะสามารถมีความสุขและร่างกายแข็งแรงมากยิ่งขึ้น การให้อภัยตนเองเพื่อให้ตนมีโอกาสเปลี่ยนแปลง การประพฤติตนดี เพื่อไปรับใช้ผู้อื่นได้ดียิ่งขึ้นในวันข้างหน้า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป การใช้พลังของตนให้ความอบอุ่นแก่ผู้คนสักนิดอาจจะยังไม่สาย ทำให้ดิฉันนึกถึงอาจารย์จางซึ่งเขียนจดหมายเดือนละฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน ดิฉันได้สัมผัสลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ เพราะท่านเขียนความผิดของตนในอดีตอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา ส่วนดิฉันกลับปิดๆ บังๆ ไม่กล้าเปิดเผย...


จำได้ว่าเมื่อดิฉันย้ายงานจากครูในโรงเรียนเข้าสู่การงานในสำนักงาน ตอนนั้นผู้นำในสำนักงานให้ความเชื่อถือและเคารพดิฉันมาก งานใหญ่งานเล็กล้วนแบ่งมาให้ดิฉันทำ ดิฉันก็พยายามรับผิดชอบทำให้ลุล่วงเสมอ เนื่องจากเวลานั้นได้เกิดความเย่อหยิ่งขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่เสมอ และทำงานท่ามกลางสำคัญตนว่าถูกต้องตลอดมา ในที่สุดฝ่ายนำไม่พอใจต่อดิฉัน มิเพียงเที่ยวฟื้นฝอยหาตะเข็บ ทั้งยังค่อยๆ เหินห่างดิฉันไป ความขัดแย้งระหว่างดิฉันกับฝ่ายนำจึงเกิดขึ้นเช่นนี้เอง ต่อมาดิฉันคิดไม่ตก ไม่เข้าใจและถือโทษผู้อื่นเป็นเวลานาน และเก็บกดอารมณ์เชิงลบเหล่านี้ไว้ในใจ ในที่สุดกลายเป็นปมปัญหาอยู่ในใจของตน เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ อันที่จริง เมื่อคิดขึ้นมาในเวลานี้ เนื่องจากเวลานั้นจิตใจของตนคับแคบเกินไป ฟังคำที่ไม่ถูกใจไม่ได้ ประสบปัญหาไม่เคยค้นหาจุดอ่อนของตน มีแต่โทษผู้อื่นเท่านั้น ดังนั้น เพราะดิฉันเป็นผู้ผิด จึงอยากจะพูดกับฝ่ายนำในอดีตว่า “ขอโทษ โปรดให้อภัย ขอขอบคุณ ฉันรักคุณ”


ท่านอาจารย์สอนเราตลอดมาว่า การศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ต้องใช้คำสอนของท่านอริยบุคคลมาส่องกระจกเงาของจิตวิญญาณ ใช้เต๋าทำให้ตนตื่นรู้ ชำระล้างและปล่อยวางตนเอง จึงจะมีความสุขและประสบความราบรื่นได้ การฝึกปฏิบัติหาใช่ไปเปลี่ยนแปลงโลกและคนภายนอกไม่ แต่เป็นการปรับปรุงการคิดและภาวจิตของตนต่างหาก ต้องหมั่นสำนึกบุญคุณ รักฉันพี่ฉันน้อง เมตตากรุณา อ่อนน้อมถ่อมตน ให้อภัย และรับใช้คนทั่วหล้าดุจสนใจร่างกายตน จึงมอบโลกให้เขาดูแล ด้วยรักถนอมโลกดังชีวิตตน จึงฝากโลกให้เขาดูแล กายและใจของชีวิตคนเราก็จะสันติสุขโดยเป็นไปเองตามธรรมชาติ ดังนั้น หลังจากคิดจนเข้าใจความผิดของตนในอดีตแล้ว ดิฉันตัดสินใจว่าต้องขอโทษ ครั้นแล้วจึงขอเบอร์โทรศัพท์ของฝ่ายนำในหน่วยงานเดิมจากเพื่อน เมื่อโทรติดแล้ว ฝ่ายตรงข้ามส่งเสียงดังฟังชัดมาตามสาย ทำให้ดิฉันนึกภาพท่วงทำนองของท่านในเวลานั้นขึ้นในสมองทันที แม้จะไม่ได้ติดต่อกันหลายปี ดิฉันยังคงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดจนการสารภาพผิด


ดิฉันได้ทักทายกับฝ่ายนำก่อน ปีนี้ท่านมีอายุ 88 ปีแล้ว พักอาศัยอยู่ในหอผู้สูงอายุ เนื่องจากหลายปีก่อนกระดูกหักเท้าทั้งคู่เดินไม่สะดวก ดิฉันพูดกับท่านว่า “ขออำนวยพรให้ท่านจงมีสุขภาพแข็งแรง อายุมั่นขวัญยืน มีความสุขทุกวัน ยิ้มเสมอ ดิฉันจะมาเยี่ยมท่านในวันปีใหม่ค่ะ” ฝ่ายตรงข้ามบอกให้ดิฉันไปเยี่ยมท่านในวันตรุษจีน ในเวลาเดียวกัน เราไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ท่านยังจำสมาชิกในครอบครัวดิฉันได้ทุกคน ถามไถ่ครบทุกคน ดิฉันบอกท่านว่าทุกคนสบายดีมาก ขอบคุณและสำนึกบุญคุณของท่าน


ระหว่างที่พูดคุยกันในโทรศัพท์ ดิฉันได้สำรวจตนเองและสารภาพผิดต่อเรื่องราวในอดีตเป็นครั้งๆ ไป พูดคุยเรื่องสัพเพเหระ รวมทั้งขอโทษท่าน ตอนที่ชำระล้างสิ่งสกปรกในจิตวิญญาณ ทำให้ดิฉันต้องสะอื้นไห้ น้ำตาไหลอาบหน้า ดิฉันรู้สึกผิดต่อเพื่อนร่วมงาน เพื่อนมิตรและฝ่ายนำ ดิฉันพูดด้วยน้ำใสใจจริงว่า “ขอโทษ โปรดให้อภัย ขอขอบคุณ ฉันรักคุณ” และการสำนึกบุญคุณและสารภาพผิดจากส่วนลึกของจิตใจเช่นนี้ ทำให้ทั่วร่างกายของดิฉันรู้สึกเบาสบาย เลือดลมไหลเวียนดี ทันใดนั้นดิฉันพบว่า อาการไม่สบายอันเกิดจากกระดูกสันหลังส่วนเอวหายไปแล้ว ทั่วทั้งร่างกายผ่อนคลายและอิสระสุดเปรียบปาน จากวันนั้นเป็นต้นมา บัดนี้ดิฉันนั่งนานสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว กระดูกสันหลังส่วนเอวได้ฟื้นฟูและทุกสิ่งทุกอย่างของดิฉันเป็นปกติแล้ว


พลังแห่งการสำนึกผิดนี้เมื่อกำจัดปมปัญหาไร้รูปในใจของชีวิตดิฉันออกไปได้ อาการเจ็บไข้ได้ป่วยในร่างกายที่มีรูปก็ได้หายไปด้วย ดังนั้น ประสบการณ์ครั้งนี้ของดิฉัน นอกจากการสำนึกบุญคุณ ก็คือการขอบคุณ ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านที่เอาใจใส่และจูงมือ ยิ่งต้องขอขอบคุณชีวิตที่ให้ดิฉันได้ตื่นรู้และตื่นตัวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น

เรื่องเล็กเรื่องน้อย ปัญญาที่ยิ่งใหญ่

1. หากในใจหลงเหลือปมปัญหาไร้รูปไว้ ชีวิตย่อมปรากฏอุปสรรคที่มีรูปแน่นอน

2. ยารักษาโรคที่มองเห็นได้สามารถบำบัดรักษาโรคที่วินิจฉัยได้ ส่วนคุณสมบัติที่มองไม่เห็นสามารถ

รักษาชีวิตที่ไม่อาจวินิจฉัยได้

3. มีคำพูดต้องพูด มีความผิดต้องแก้ จงขอบคุณเสมอ ปีติยินดีเสมอ ปรองดองเสมอ วิริยะก้าวหน้าเสมอ

และสร้างคุณธรรมเสมอ เป็นเคล็ดลับที่ทำให้ชีวิตมีสุขภาพแข็งแรงและอยู่เย็นเป็นสุข

2 views0 comments
bottom of page