top of page

วิถีเต๋าไม่นับญาติ มักจะช่วยเหลือคนดี : อันต่า



เมื่อผ่านการศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” เราทุกคนมีการเปลี่ยนแปลงมาก ๆ อันดับแรกคือ ภาวจิต อันดับที่ 2 คือ สมรรถภาพร่างกาย ล้วนแต่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด มีอยู่ครั้งหนึ่งผมได้พูดคุยสัพเพเหระกับสมาชิกครอบครัวชาวเต้าซิ่นหลายคนที่ศึกษาประยุกต์ใช้คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” ที่เมืองวัฒนธรรมว่า หากเปรียบเทียบกับคนรอบข้างที่มีอายุเท่ากัน เราผู้ศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” มาระยะหนึ่งกับผู้ที่ไม่ได้ศึกษา มองจากภายนอกอย่างน้อยต่างกัน 10 ปี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความต่างของอายุทางจิตวิทยาแล้ว


เหตุใดจึงมีความแตกต่างกันมากมายขนาดนี้เล่า เราทุกคนต่างดำเนินชีวิตอยู่ในโลก มีโอกาสพบกับเรื่องยุ่งยากไม่สบายใจ และไม่สมความปรารถนาเสมอ จึงมีโอกาสเกิดความคับแค้นใจและมีปมปัญหาในใจ สำหรับผู้ศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” อาจสลายความคับแค้นใจและแก้ปมปัญหาในใจของตนได้ภายในไม่กี่นาที ทว่าคนอื่น ๆ ล่ะ หนึ่งเดือน หนึ่งปี สองปียังสลายความคับแค้นใจไม่ได้ เป็นเหตุให้ถูกทำร้ายทั้งกายและใจ ดังนั้น เรื่องในทำนองเดียวกัน เราสามารถปรับได้ทันกาลหรือไม่ สลายด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเงื่อนไขเบื้องต้นและพื้นฐานของการทำให้กายใจสมดุล มีสุขภาพแข็งแรง คู่สามีภรรยาบางคู่ เนื่องจากเกิดสงครามเย็น ใครก็ไม่สนใจใครเป็นเวลาหลายเดือน อันที่จริง ผู้ที่ถูกทำร้ายคือสุขภาพกายและใจของตน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก การสลายความแค้น ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าได้เกิดเสียดีกว่า


ความดี สามารถสลายความแค้นได้

คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” บทที่ 79 ประโยคแรกกล่าวว่า “สลายความแค้น ต้องมีความแค้นหลงเหลือ จะจัดการให้เหมาะสมอย่างไร” เหตุใดท่านเหลาจื่อจึงกล่าวเช่นนี้เล่า นี่เป็นการชี้ว่าเราไม่ต้องรอให้สั่งสมจนเป็นความแค้นมากแล้วค่อยสลาย ถึงเวลานั้นจะสลายก็ยากยิ่งแล้ว แม้การสลายจะฝังรากและปมความแค้นไว้ในใจ คัมภีร์บทที่ 79 ประโยคสุดท้ายกล่าวว่า “วิถีเต๋าไม่นับญาติ มักจะช่วยเหลือคนดี” คำพูดประโยคนี้กับประโยคแรกของบทที่ 1 นั้นสอดคล้องกัน แล้วการสลายความแค้นมาก ๆ เล่า มีวิธีเพียงหนึ่งเดียวคือ ใช้ “ความดี” คุณธรรมแทนความแค้น ทำเช่นนี้จึงจะสลายความแค้นได้


ครั้งนี้ไปศึกษายังเมืองวัฒนธรรมเต้าเต๋อเหลาจื่อสากล กลุ่มของเรามีสุภาพสตรีท่านหนึ่ง สามีเธอมีพี่น้อง 4 คน สามีเรียงเป็นคนที่ 3 พี่น้องทั้ง 4 คน ครอบครัวของเธอมีเงื่อนไขดีที่สุด ครอบครัวของคุณแม่ทำการค้าเกี่ยวกับ “กุญแจ” เธอคำนึงถึงพ่อแม่สามีมีอายุมากแล้วไขกุญแจไม่สะดวก จึงเปลี่ยนกุญแจประตูเป็นกุญแจเปิดด้วยลายนิ้วมือ ข้างบ้านของพ่อแม่เป็นบ้านของพี่ชายคนโตของเธอ ภายใต้สภาพที่ไม่มีการปรึกษาหารือมาก่อน เธอยังเปลี่ยนกุญแจประตูของบ้านพี่ชายคนโตเป็นกุญแจเปิดด้วยลายนิ้วมือไปด้วย หลังจากเปลี่ยนแล้ว พี่ชายเธอกลับบ้านไขกุญแจไม่ออก บันดาลโทสะมากพูดว่า “กุญแจล็อกประตูดี ๆ เปลี่ยนโดยไม่ขอความเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่ ทั้งยังไขไม่ออกอีกด้วย” ท้ายสุดพี่ใหญ่จึงทุบกุญแจทิ้ง เวลานี้คุณพ่อสามีมิเพียงไม่เตือน ทั้งยังตำหนิเธอว่าไม่ควรทำ ตอนนั้นเธอไปทัศนาจรอยู่ข้างนอก เมื่อทราบเรื่องแล้ว รีบโทรศัพท์ไปขอโทษพี่ใหญ่ทันทีว่า “ขอโทษค่ะพี่ใหญ่ น้องทำไม่ดี น้องผิดไปแล้ว” เรื่องนี้นับว่าสงบลงได้และผ่านไปแล้ว


หลังกลับจากทัศนาจร สุภาพสตรีท่านนี้รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมตลอดมา เห็นว่า ฉันทำเช่นนี้ล้วนแต่เพื่อเธอทั้งหลายได้ใช้ของดี สะดวกพวกเธอทั้งหลายกลับมาโทษฉันเสียอีก โดยเฉพาะคือคุณพ่อของสามี มิเพียงไม่ห้ามปราม กลับเติมฟืนเติมไฟ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เธออึดอัดใจมาก แต่ตัวเองเป็นผู้ที่ศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” แล้ว คิดไปคิดมา สุดท้ายตัดสินใจไปคุยให้รู้เรื่องและขอโทษ ครั้นแล้วมีครั้งหนึ่งช่วงที่ทุกคนกำลังรับประทานข้าวด้วยกัน เธอพูดต่อหน้าทุกคนว่า “เรื่องเปลี่ยนกุญแจประตูครั้งที่แล้ว ทำให้พี่มีความยุ่งยาก ไม่สะดวก และไม่สบายใจ เรื่องนี้ฉันทำไม่ถูก ฉันผิดไปแล้ว” พอเธอพูดขึ้นมาเช่นนี้ พ่อแม่สามีของเธอรู้สึกละอายใจมาก รีบยืนขึ้นกล่าวว่า “เธอน่า ใจดี ทำความดีเพื่อเรา เราไม่โทษเธอเลย” ถึงเวลานี้ นับว่าเป็นผลที่ดีสมบูรณ์แล้ว ต่างฝ่ายได้พูดคุยทำความเข้าใจได้ทันเวลา เรื่องนี้นับว่าน่าจะผ่านไปได้แล้ว


ทว่า สุภาพสตรีท่านนี้พูดกับคุณพ่อของสามีว่า “อารมณ์ผู้ชายของครอบครัวคุณพ่อนั้นแปลกมาก ไม่เหมือนนิสัยของคนส่วนใหญ่” เธอพูดเช่นนี้ คุณพ่อของสามีเธอจึงบันดาลโทสะทันที มือถือตะเกียบทุบลงบนโต๊ะ ไม่รับประทานข้าวแล้วพูดด้วยอารมณ์โกรธว่า “ชีวิตของพ่อไม่ต้องให้พวกเธอเลี้ยง เวลาตายพวกเธอก็ไม่ต้องยุ่ง” เป็นต้น ซึ่งเป็นจำพวกคำที่ไม่พอใจและดุร้าย เธอคิดไม่ถึงว่า คำพูดประโยคเดียวได้ผลลัพธ์เช่นนี้ อันที่จริง บุรุษในครอบครัวเขามีนิสัยหุนหันพลันแล่น ทุกคนเป็นคนที่ดีมาก เห็นคุณพ่อสามีพูดถึงระดับนี้ เธอได้แต่รีบกล่าวคำขอโทษแล้ว แต่ยังคงวิ่งออกไปด้วยความโกรธ เช่นนี้จึงผูกเป็นปมความแค้นกับพ่อแม่สามี ต่างฝ่ายต่างไม่สนใจกัน นับแต่นั้นมาเวลาพบหน้ากันก็ไม่ยอมเรียกคุณพ่อคุณแม่ ในใจของสุภาพสตรีท่านนี้มักจะรู้สึกว่าตนทำดีแต่ไม่ได้ดี ในใจมีแต่อารมณ์แค้นเคือง ต่อมาไปที่เมืองวัฒนธรรมเวลาที่แบ่งปันประสบการณ์ ผมพูดกับเธอว่า “อันที่จริง เรื่องนี้เธอต้องตั้งใจคิดสักหน่อย เวลาที่เธอขอโทษได้กล่าวด้วยความจริงใจจากส่วนลึกของจิตใจหรือไม่ ตอนที่เธอกล่าวคำขอโทษ พ่อแม่ของสามีเธอได้รู้สึกละอายใจแล้ว สุดท้ายเธอกลับใช้คำขอโทษไปตำหนิและโทษท่านทั้งสองอีก จึงก่อให้ความขัดแย้งเลื่อนระดับสูงขึ้น ความแค้นยิ่งสั่งสมยิ่งลึก ความรับผิดชอบอยู่ที่เธอโดยสิ้นเชิง” เมื่อทุกคนผ่านการแบ่งปันประสบการณ์ด้วยกันแล้ว เธอรับรู้ถึงความผิดของตน ตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปแล้วต้องไปขอโทษต่อคุณพ่อคุณแม่ของสามีด้วยความเคารพนบนอบ และเรียกคุณพ่อคุณแม่ต่อไป


สุภาพสตรีท่านนี้รับรู้ถึงความผิดพลาดของตน และสำรวจความคิดของตน เธอไม่ถือโทษพ่อแม่ของสามีตนแล้ว อันที่จริง เธอได้สลายปมในใจของเธอแล้ว ลองคิดดูสิว่า หากทุกคนเกิดโทสะเนื่องจากความแค้น ผู้มีอารมณ์โกรธแท้จริงมิใช่ใครอื่น แต่เป็นตนเอง ผู้ที่ถูกทำร้ายแท้จริงมิใช่ใครอื่น แต่เป็นตนเองอีกนั่นแล มีแต่ความดีเท่านั้น จึงจะสลายความแค้นได้


การสลายความแค้น ทางที่ดีคือ อย่าได้เกิดความเคียดแค้น

ตราบใดที่เกิดความแค้น คิดจะสลายความแค้นอย่างสิ้นเชิงนั้นยากลำบากมาก ในคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” บทที่ 79 กล่าวว่า “สลายความแค้น ต้องมีความแค้นหลงเหลือ จะจัดการให้เหมาะสมอย่างไร” จึงเป็นเหตุผลนี้ ซึ่งในคติธรรมกล่าวว่า “หลังเกิดเหตุการณ์แล้วยังต้องติดตามแก้ไข มิสู้อย่าให้มีเรื่องมีราวเสียดีกว่า หากรู้แต่เนิ่นว่าจะมีเหตุการณ์ในวันนี้ ไหนเลยจะให้เกิดเรื่องดังกล่าว เรื่องเหล่านี้ควรมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาของเหตุการณ์ไว้บ้าง”


สำหรับตัวผมเองเคยเกิดตัวอย่างเรื่องหนึ่งคือ ผมแต่งงานอายุ 21 ปี ปีที่มีอายุ 24 ปีได้ซื้อรถบัสขนาดกลางวิ่งขนส่ง หลังจากขับไปได้ 1 เดือน เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตำรวจให้ความ “คุ้มครอง” โดยกักตัวไว้ 14 วัน การซื้อรถในตอนนั้นอาศัยการกู้หนี้ยืมสินไปทั่วประสมประเสมาซื้อ ไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุ ผมเป็นลูกคนโต พอเกิดอุบัติเหตุ เหมือนฟ้าถล่ม คนในครอบครัวจะใช้ชีวิตกันอย่างไร ทุกคนเสียใจมาก ลูกชายผมอายุเพิ่ง 2 ปีกว่า เพิ่งจะเดินได้พูดได้ เอาแต่ร้องไห้ ภรรยาผมมีแรงกดดันทางความคิดมาก จิตใจไม่สบาย ไม่มีใจดูแลเด็ก พอดีน้องชายกลับจากข้างนอกมาในเวลานี้ ได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ จึงเข้าไปในบ้านอุ้มเด็กออกมานอกบ้าน ตอนนั้นน้องชายผมมีความไม่สบายใจ และเนื่องจากเรื่องของผมด้วยทำให้บันดาลโทสะ เขาพลางอุ้มเด็กพลางปลอบเด็กว่า “แม่เธอไม่ดูแลเธอแล้ว ไม่ต้องเอาแม่แล้ว ไปเล่นกับอาดีกว่า” อันที่จริง นี่เป็นเพียงคำพูดที่ปลอบเด็กไปตามเรื่อง แต่ในเวลานั้น เป็นเพราะคำพูดประโยคนี้ ภรรยาผมรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม เหมือนถูกไฟสุมอยู่กลางอก ทิ้งงานที่ทำอยู่ วิ่งออกมาทะเลาะกับน้องชายผม จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายใต้สภาพพิเศษ ทำให้พวกเขาสองคนผูกเป็นความแค้น เกิดเป็นปมในใจ เวลาผ่านไป 20 กว่าปี ภรรยาผมกับน้องชาย ตลอดจนคนในครอบครัวเขาพูดจากันน้อยมาก บางครั้งมีโอกาสอยู่ด้วยกันก็คุยกันไม่กี่ประโยคตามประเพณี จนบัดนี้ยังมีความแค้นหลงเหลืออยู่ ผมในฐานะเป็นต้นเหตุสำคัญของเหตุการณ์ในเวลานั้น สำหรับการสลายปมในใจของเธอ กลับมีใจแต่ไม่มีแรงตลอดมา หลังจากทั้งครอบครัวได้ศึกษาคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” แล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจึงแปรเปลี่ยนสู่ด้านที่ดี


ดังนั้น จึงกล่าวว่า ตราบใดที่มีความแค้นจะสลายนั้นยากเย็นแสนเข็ญมาก ท่านเหลาจื่อกล่าวว่า “สลายความแค้น ต้องมีความแค้นหลงเหลือ จะจัดการให้เหมาะสมอย่างไร” หมายความว่า อย่าให้เกิดความแค้นขึ้นเลย เมื่อใกล้จะเกิดความแค้น ทำการปรับปรุงได้ทันกาล ท่านเหลาจื่อกล่าวว่า “อริยบุคคลรักษาหลักฐานการกู้ยืม ไม่บังคับทวงหนี้” ซึ่งหมายความว่า “อย่าได้คิดว่าถูกต้องตามประเพณี เลยไม่ยอมอภัยให้ใคร ต้องสลายก่อนเกิดเป็นความแค้น ด้วยเหตุนี้ การสลายความแค้น ทางที่ดีที่สุดคือ อย่าได้เกิดความแค้นเลย”


วิถีเต๋าไม่นับญาติ มักจะช่วยเหลือคนดี

ในคัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” บทที่ 79 ยังกล่าวว่า “อริยบุคคลรักษาหลักฐานการกู้ยืม ไม่บังคับทวงหนี้ จัดการสัญญาด้วยคุณธรรม หากไร้คุณธรรมจะเร่งรัดทวงหนี้ วิถีเต๋าไม่นับญาติ มักจะช่วยเหลือคนดี” นี่ เป็นหลักเหตุผลและค่านิยมทั่วไป บัดนี้ธุรกิจจำนวนมากล้วนแต่ศึกษาศาสตร์แห่งการวิจัยค้นคว้าสาขาต่าง ๆ คัมภีร์ “เต้าเต๋อจิง” และ “ตี้จื่อกุย” (กฎระเบียบของผู้เป็นลูกศิษย์) ฯลฯ มีเจ้าของกิจการท่านหนึ่ง ท่านได้ให้พนักงานศึกษา “ตี้จื่อกุย” ตัวท่านเองกลับไปมาเก๊าสัปดาห์ละครั้ง ลองคิดดูซิ พนักงานของเขาจะศึกษาได้จริงจังหรือไม่ ในที่นี้ การสอนโดยไร้วาจานั้นสำคัญมาก เวลาที่เราเรียกร้องให้ผู้อื่นทำเช่นนี้ ก่อนอื่น ต้องเรียกร้องผู้นำ และผู้บริหารต้องนำหน้าทำเป็นแบบอย่าง ตัวท่านไม่ทำเช่นนี้ กลับเรียกร้องผู้อื่นไปทำ เช่นนี้จึงยากจะบรรลุเป้าหมายได้ หากผู้นำขาดเต๋า ไร้คุณธรรม ท่านจึงยากจะดำเนินความมีเต๋าและคุณธรรม ประเทศชาติมีตัวบทกฎหมาย บริษัทมีระบบ ผู้นำและผู้บริหารนำหน้าปฏิบัติตามกฎหมายและระบบ ทุกคนปฏิบัติตามเต๋า รักษาคุณธรรม ถ้าเช่นนั้น จึงไม่ต้องใช้กฎหมายของชาติและระบบของบริษัทแล้ว สังคมจึงมีความปรองดองโดยเป็นไปเองตามธรรมชาติ


ท่านประธานาธิบดีสีจิ้นผิงกล่าวว่า “โลกดี ประเทศจีนจึงจะดีได้ จีนดี โลกจึงจะดีมากยิ่งขึ้น” กล่าวสำหรับเราทุกคนก็เช่นเดียวกันว่า เธอดี ครอบครัวจึงจะดีได้ ครอบครัวดี เธอจึงจะดีมากยิ่งขึ้นได้ ทำนองเดียวกัน เธอดี ธุรกิจจึงจะดีได้ ธุรกิจดี เธอจึงจะดีมากยิ่งขึ้น ธุรกิจดี สังคมจึงจะดีได้ สังคมดี ธุรกิจจึงจะดีมากยิ่งขึ้นได้ หากเราทุกคนล้วนแต่คิดกันเช่นนี้ ทำกันอย่างนี้ ส่วนทั้งหมดของสังคมเราจะนับวันยิ่งปรองดองสมานฉันท์


กล่าวโดยสรุปแล้วคือ วิถีเต๋าไม่นับญาติ มักจะช่วยเหลือคนดี

2 views0 comments
bottom of page